แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผลฟุตบอล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผลฟุตบอล แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ผลบอล: แฟนบอล ยานาไซ อย่าอ่านนะ?

แฟนบอล ยานาไซ อย่าอ่านนะ?




เพื่อ 3 คะแนนสำคัญของ เหล่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากการคว้าชัยเหนือทีมรองบ่อนอย่าง ฝ่ายคริสตัล พาเลซ 1 - 0 เท่าที่สุดสัปดาห์ที่ทะลุมา คงจักไม่เกิดขึ้นแน่ๆ หากอดีตดาวรุ่งที่ใครๆ ต่างก็พูดถึงครั้งช่วงต้นซีซั่นที่แล้วนามว่า อัดนาน ยานาไซ โลดแล่นอยู่ในสนามครบ 90 นาที

ซึ่งในนัดนี้ได้รับเสียงด่าอย่างมากโข เพราะว่าการวิเคราะห์ผลฟุตบอลฟอร์มการเล่นอันสุดแสนจะห่วยแตกของ อัดนาน ยานาไซ ในฤดูกาลนี้ ไม่ใช่หรือถ้าจะให้พูดสุทธิๆ ก็น่าจะเป็นมาตั้งแต่ช่วงท้ายฤดูกาลที่แล้วละ ถ้าท่านผู้อ่านได้เคยติดตามงานเขียนของผมมาก่อน ก็คงจะทราบดีว่าผมนั้นเป็นแฟนบอล กรุ๊ปปีศาจแดง แบบสุดลิ่มทิ่มประตูคนนึงเลยหละ ฉะนั้นการที่จักให้มาเขียนสกู๊ป ตำหนิติติงนักเตะคณะโปรดของตัวเอง บางพวกันก็ทำยากอยู่นะ แต่วันนี้มันถึงจุดแล้วยิ่ง ๆ




ภาพห่วยจนถูกหนังสือ Deviemag จับมาล้อ จาก Devilmag.com


พร้อมทั้งความแท้จริงแล้วผมใคร่ได้จักเขียนถึงข่าวแมนยู ตัว ยานาไซ มาตั้งแต่ 2 - 3 เกมก่อนหน้านี้แล้วนะ แต่ก็คิดว่าอะ ลองให้โอกาสมันดูอีกสักหน่อยละกันวะ อีกอย่างตอนนั้นสาวกผู้คลั่งไคล้ในตัวของดาวเตะหน้าหล่อรายนี้ หรือไม่ก็ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ติ่ง ก็ยังค่อนข้างอื้ออยู่ ฉะนั้นโอกาสที่ผมจักโดนติ่งเหล่านั้นรุมโทรมด้วยคำหยาบคายมีค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

ซึ่งผมจึงเเอิกเกริกกที่จะเลี่ยงไปก่อน แต่ครั้นเมื่อกาลเวลาเปลี่ยน ติ่ง ทั้งหลายก็เริ่มทำได้เห็นธาตุแท้ของไอหนูขี้เก๊กรายนี้ ชัดขึ้นๆ เรื่อยๆ จากที่เคยหลง ก็เหฟุ้งเฟื่องแค่รัก จากที่เคยรัก ก็เหโจษแค่ชอบ จากที่เคยชอบ กลับกลายเป็นเฉยๆ จนทุกวันนี้บางคนเกลียดแล้วด้วยซ้ำ

ก็เพราะว่าเหตุนี้ วันนี้ผมขอพูดถึงจอมเลี้ยงร่างอ้อนแอ้นสักหน่อยเถอะ มันอดรนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เพราะว่าฟอร์มการเล่นแบบฉายเดี่ยว กรูเก่งคนเดียว ไม่คิดจักส่งให้ใคร ยิงทิ้งยิงขว้าง ยึกๆ ยักๆ เล่นมากจังหวะ ทำลูกง่ายให้เป็นลูกยาก ลากถึงเส้นหลังแล้วไม่เปิด แต่เจือกล็อกกลับหลัง พร้อมทั้งจบด้วยการยึกๆ ยักๆ พร้อมทั้งอีกหลากหลายร้อยสิ่งที่เขาทำให้เกมรุกของ คณะปีศาจแดง นั้นเพลาฤทธิ์เดชลงไป

พร้อมกับผมก็มั่นใจอีกว่า ไม่ใช่ผมคนเดียวที่เป็น ประชาชนทนไม่ไหว ที่ต้องขออกมาต่อต้านการส่ง ยานาไซ ลงเล่นเป็นตัวยิ่ง เพราะเท่าที่ตามอ่านความคิดเห็นของเหล่าบรรดาสาวก คณะอสูรแดง ในสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะทั้ง

  1. ทาง เฟสบุ๊ก
  2. ทาง ทวิตเตอร์
  3. ทาง อินสตราแกรม 
  4. ทาง กระทู้ตามเว็บบอร์ดต่างๆ 


ซึ่งแฟนผีร้อยละ 80 ต่างก็ออกมาด่า ยานาไซ ซะเละเทะไม่มีชิ้นดี




ภาพจาก Devilmag ขอขอบคุณภาพจาก Devilmag.com

ซึงเพราะติ่งของ ยานาไซ บางท่านอาจจะอ้างว่า โหยย ก็คนไทยมันขึ้นชื่อเรื่อง เกรียนคีย์บอร์ด อยู่แล้วนี่หว่า มันก็ต้องด่ากันอยู่แล้ว ผมจะชี้แจงว่าที่อังกฤษเอง เขาก็คิดกันอย่างนี้ครับ ขนาดสาวกอสูรวัยขบเผาะนามว่า ชาร์ลี ยังต่อว่าปีกจอมยึกยักรายนี้เลยครับ ถ้าไม่เชื่อ ผมมีคลิปมาให้ดู



จะรู้สึกอายเด็กมันบ้างไหมนะ

ซึ่งเจ้าหนูน้อยชาร์ลีผู้น่ารักได้ให้สัมภาษณ์ถึงชัยชนะที่ พวกปีศาจแดง นั้นมีเหนือ พวกปราสาทเรือนแก้วผลบอล 1 - 0 ว่า 3 คะแนนในวันนี้สำคัญต่อคณะอย่างมาก แต่เกมของเรายังค่อนข้างช้าอยู่ โดยเฉพาะ ยานาไซ เขาเล่นบอลได้ช้ามาก ทำเกมเสียจังหวะตลอด เขาคือจุดอ่อนของหมู่ กับก่อนที่ ชาร์ลี จักไปวิพากษ์วิจารณ์ อังเคล ดิ มาเรีย กับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ต่อ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นของเราแล้วหละ 5555

ก็ได้เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ผมก็นึกได้คุ้นๆ เหมือนกับว่า ผมเคยเขียนเรื่องราวของเขามาแล้วทีนึง ตอนช่วงต้นฤดูกาล เวลาที่เพิ่งจะได้รับเสื้อหมายเลข 11 เลยลองกลับไปขุดหาดู ปรากฏว่า เห้ย จริงๆ ด้วยตอนนั้นผมเขียนไว้ ว่าด้วยเรื่องของ ชื่อชั้นที่ยังไม่สมควรจะมาใส่เบอร์ 11 ต่อจาก แข้งระดับตำนานอย่าง ไรอัน กิ๊กส์ เพราะมันจะทำให้เด็กหนุ่มวัยแค่ 19 ปี ต้องแบกรับความกดดันไว้มหาศาลนั่นเอง กับดูเหมือนว่าปัจจุบันนี้ สิ่งที่ผมคิดไว้ในตอนนั้นมันจะถูกต้องเสียด้วย

ด้วยกันนอกจากนี้ในบทความนั้น มีใจความท่อนนึงผมเขียนไว้ว่า ผมรู้สึกว่า ยานาไซ ไม่ได้เก่งขนาดนั้น แต่กลับถูกมองว่าเก่ง พร้อมกับให้ราคาจนเกินตัวไปมากมายก่ายกองมาก สิ่งที่ผมจักพูดถัดไปอาจทำร้ายจิตใจแฟนผี แต่โปรดยอมรับเถอะครับว่า ราฮีม สเตอร์ริ่ง ปีกกึ่งกองหน้าของ หมู่หงส์แดง ลิเวอร์พูล คู่กัดตลอดกาลของ คณะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ถูกดันขึ้นมาสู่ฝ่ายชุดใหญ่พร้อมๆ กับ ยานาไซ มีการพัฒนาที่มากกว่า กับดูดีมีอนาคตกว่าแยะ

ซึ่งถ้าถ้าหากใครจักหมายว่าผมอคติกับดาวรุ่งขวัญใจแฟนผีรายนี้ ผมก็คงต้องขอน้อมรับไว้ แต่ผมคิดว่าฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวก็น่าจักตอบโจทย์ทุกอย่างได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นมากจังหวะ การหวงบอล การยิงโดยไม่หวังผล ซึ่งถ้าหาก ยานาไซ ไม่ยอมปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นของตัวเอง อนาคตคงก้าวจากนั้นลำยากแน่ๆ

ถ้าจักนับจากวันนั้น จนถึงวันนี้ ในเกมพรีเมียร์ลีก สร้างผ่านไปแล้วอีก 10 นัด ความคิดของผมที่มีต่อ ยานาไซ ก็ยังคงเดิม แถมขอยอมรับตรงๆ ด้วยเลยว่า เริ่มทำจะมีความเกลียดเข้ามาเจือปนแล้วด้วยซ้ำ





ภาพเกมแรกในกรุ๊ปชุดใหญ่ อย่างไม่เป็นทางการ ของ ยานาไซ ก็คือการมาโชว์ความพริ้วที่แดนสยามนี่เอง

ซึ่งถ้าแม้ ลองย้อนกลับไปตราบใดฤดูกาลที่แล้ว ยุคที่ยังไม่มีใครรู้จักมากนัก เจ้าตัวได้รับโอกาสให้ลงเล่นในช่วง พรี - ซีซั่น พร้อมกับก็ทำผลงานได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว รวมถึงได้ลงเล่นในการมาทัวร์เมืองไทยด้วย เกมนั้นเล่นดีมากๆ ส่วนเกมที่ได้ลงสนามในหมู่ชุดใหญ่อย่างเป็นทางการเลยก็คือการลงมาเป็นตัวสำรองแทนที่ของ แอชลี่ย์ ยัง ในนาทีที่ 68 เกมนั้นพลพรรค กลุ่มเร้ด เดวิลส์ ได้เอาชนะ พวกคริสตัล พาเลซ ไปได้ 2-0 กับเจ้าตัวก็ยังทำผลงานได้ไม่เลว

และภายหลังนั้น เกมที่ถือว่าเป็นการแจ้งเกิดให้ ยานาไซ อย่างเต็มตัวก็มาถึง ครั้นเมื่อเขาถูก เดวิด มอยส์ ส่งลงเป็นตัวจริงครั้งแรกในเกมที่พบกับ ทีมซันเดอร์แลนด์ เพราะว่าเจ้าตัวเหมาคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ต้นสังกัดสร้างปาฏิหาริย์พลิกนรกจากที่ตามหลังอยู่ 1 - 0 กลับมาชนะได้ 2 - 1 และภายหลังเกมนั้นเองผู้คนทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญเขา สื่อหลายสำนักรุมสัมภาษณ์ สโมสรยักษ์ใหญ่ตั้งต้นตามจีบ พร้อมด้วยหลายคนอาจมองว่าเป็นเกมแจ้งเกิด แต่เนื่องด้วยผมมันคือจุดที่ทำให้วัยรุ่นคนนี้ สมาธิแตกกระเจิงเสียมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของกุนซือจอมเฮี้ยบอย่างโค้ช เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เสียด้วย




คลิปเกมแจ้งเกิดของตัว ยานาไซ

ซึ่งไม่กี่วันถัดมาโปรแกรมบอล ภายหลังเกมดังกล่าวด้านบน กลุ่มปีศาจแดง ก็จัดการมอบสบถสาบานฉบับใหม่ระยะยาวถึง 5 ปี พร้อมค่าจ้างสูงถึง 60,000 ปอนด์ไม่ก็คาดว่า 3 ล้านบาท ต่อสัปดาห์ พร้อมเงินกินเปล่าค่าเซ็นให้คำมั่นที่เด็กอายุ 18 ปีจักได้เอาไปใช้ฟรีๆ อีก 5 ล้านปอนด์ไม่ก็ราวๆ 250 ล้านบาท เรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีวัยกะเตาะเท่าชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว

พร้อมด้วยผมก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่า มีใครได้สังเกตุเหมือนผมหรือไม่ว่า ตั้งแต่ อัดนาน สะบัดน้ำหมึกพร้อมรับค่าเหนื่อยมหาศาล เจ้าตัวก็เปลี่ยนไป ทั้งการแต่งตัว การวางตัว รวมถึงฟอร์มการเล่นในสนามบอล


พูดแบบไม่อ้อมเลยก็คือ ขี้เก๊ก ขี้แอ็ค ขี้เลี้ยง กว่าเดิมเพียบมากๆ เลย พร้อมทั้งอย่างที่กราบทูลละครับ พอมาในฤดูกาลนี้ เขาได้สวมเบอร์ 11 อีกด้วย ผมคิดว่าทำให้เจ้าตัวรู้สึกว่าตัวเองยิ่งมีความสำคัญกับทีม บวกกับแรงกดดัน ฟอร์มมันถึงออกมาได้ห่วยแตกแบบสุดลิ่มทิ่มประตูแบบนี้นี่ละครับ แถวบ้านผมเขาเรียกอาการแบบนี้ว่า ทองลอก ครับ ความหมายก็คือคนที่ดี นานวันไปก็กลับกลายเป็นคนเลว อะไรประมาณนั้น แต่ในกรณีนี้ ผมไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า มันเคยมี ทอง อยู่ในตัวเจ้าเด็กนี่มาก่อนใช่ไหมเปล่าด้วยซ้ำ




ภาพเซ็นรับปากยิ้มแป้น รับทรัพย์กับเงินก้อนโต

ซึ่งอีกประเด็นนึงที่ต้องประสงค์จักเขียนถึงแต่ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวยาวก็คือ มีหลายคน ย้ำเตือนว่า ให้ดู โรนัลโด้ ตอนมาใหม่ๆ สิ มันก็ขี้เลี้ยงอย่างนี้แหละ เดี๋ยวสักวัน ยานาไซ ก็อาจจะเป็นถึงระดับโด้ได้บ้าง โอ้ยยย แน่นอนครับที่ตอนนั้น เจ็ทโด้ มันขี้เลี้ยง แต่ขอโทษ ทรงมันดีกว่านี้ด้วยซ้ำ ทำไมไม่ลองไปเทียบพวกขี้เลี้ยงแบบ นานี่ เบเบ้ ดูบ้างละครับ?

ด้วยกันผมขอพูดตรงนี้เลยว่าตัวของ ยานาไซ ไม่มีทางเหมือน โรนัลโด้ แค่ใกล้เคียงยังไม่มีวันเลยด้วยซ้ำ ผมรับประกัน

สิ่งสุดท้ายนี้ แม้ว่า ยานาไซ จะเป็นคนที่ผมชอบน้อยที่สุด ในเหล่า ณ เวลานี้ แต่ในฐานะที่ผมคือสาวก ฝ่ายปีศาจแดง ฉะนั้นตราบใดที่แข้งวัยกะเตาะรายนี้ยังคงอยู่ในพวก เราก็คือสายเโจษดเดียวกัน ผมก็ขอเอาใจช่วยให้ปีกกลุ่มชาติเบลเยี่ยม ก้าวข้ามความกดดันในการสวมเสื้อเบอร์ 11 ต่อจากตำนาน ปีกขนดก ไปให้ได้

พร้อมด้วยรวมถึงต้องพยายามปรับเปลี่ยนทัศนคติในการเล่น และเร่งพัฒนาฝีเท้าให้ดีขึ้นกว่าเดิมในตารางพรีเมียร์ลีกด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือ หลุยส์ ฟาน กัล ช่วยอย่าส่งมันลงตัวแน่ๆบ่อยนักได้มั้ยวะ จับมันดองข้างสนาม พร้อมๆ กับลูกรักของคุณอย่าง ฟาน เพอร์ซี่ ด้วยก็จักดีมาก

ชิน ชินพัฒน์

เขียนเพราะ : Giggsmanu11

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ฟุตบอลเอื้อนได้ว่าแปรไปหมายความว่าหนังคนละขอดเพราะด้วยศึกพรีเมียร์ลีก

เรียกได้ว่ากลายเป็นหนังคนละม้วน




เมื่อฤดูกาลที่แล้วเป็นการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกถือว่าตื่นเต้นและคู่คี่สูสีที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมา ชนิดที่ว่ากว่าจะเหลือแคนดิเดตสองทีมที่ได้ชิงดำกันจริงๆ ก็แทบจะไม่กี่นัดสุดท้ายแล้ว

แต่ว่าการวางมือของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจบฤดูกาล 2012 - 2013 ได้สร้างแรงกระเพื่อมระลอกใหญ่ต่อโฉมหน้าของการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว

ซึ่งในระหว่างฤดูกาลที่แล้ว สำหรับตำแหน่งจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีกมีการเปลี่ยนมือถึง 25 ครั้ง เมื่อเทียบกับแค่ 4 ครั้ง ในฤดูกาลก่อนหน้านั้น และถือเป็นการเปลี่ยนทีมนำบนหัวตารางมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของรายการ รองจาก 29 ครั้งในฤดูกาล 2001 - 2002

โดยหลังจากที่หมดยุคของ ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้การกุมบังเหียนของ โค้ชอย่างเฟอร์กี้ เดวิด มอยส์ และไม่สามารถประคับประคองทีมชุดแชมป์ให้คงผลงานเอาไว้ได้ ผลก็คือปิศาจแดงทำผลงานกระท่อนกระแท่น จนกลายเป็นทีมที่หมดลุ้นแชมป์ไปอย่างรวดเร็ว

ซึ่งนั่นเท่ากับทำทีมลุ้นแชมป์ทีมอื่นๆ หมดคู่แข่งไปหนึ่ง และเป็น ทีมอาร์เซนอลที่เริ่มออกตัวได้แรงกว่าใครในโค้งแรก ถือเป็นปีที่ปืนใหญ่ยืนระยะรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีเอาไว้ได้ยาวนานกว่าที่เคย แต่สุดท้ายอาร์แซน เวนเกอร์ก็รับมือกับปัญหานักเตะตัวหลักๆ เจ็บ และผลงานที่ดร็อปลง ในที่สุดไม่ไหว จนต้องกลับมาลุ้นท็อปโฟร์เหมือนเคยเมื่อผ่านเข้าผ่านสู่ช่วงควอเตอร์สุดท้ายของฤดูกาล




สำหรับทีมเชลซีที่ได้โค้ชอย่าง โจเซ่ มูรินโญ่ นั้นกลับมาคุมทีมอีกครั้ง ตั้งความหวังไว้สูงเช่นกัน และยอดกุนซือแสบก็นำทีมสร้างผลงานได้อย่างคงเส้นคงวาที่สุดทีมหนึ่งในปีที่แล้ว เพราะป้วนเปี้ยนอยู่ระหว่างอันดับ 1 - 4 ถึง 37 จาก 38 นัด แต่แม้จะเบียดขึ้นมาครองจ่าฝูงได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และ เดือนมีนาคม

เพียงแต่ว่าการกาวิเคราะห์ผลบอลสะดุดแพ้ถึง 3 จาก 6 นัดในช่วงโค้งสุดท้าย ก็ทำให้ ทีมสิงห์ครามหลุดวงโคจรไป

ตามมาด้วยทีมลิเวอร์พูล ที่ได้กลายเป็นทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ได้มากที่สุด เมื่อ หลุยส์ ซัวเรซ ได้ระเบิดฟอร์มออกมาอย่างพีกสุดๆ ส่วนนักเตะคนอื่นๆ ก็โชว์ฟอร์มกันได้อย่างดี ทำให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นำทีมลุ้นแชมป์ได้อย่างเต็มตัว หลังจากไม่ได้อยู่ตรงจุดนี้มานานหลายปี

ซึ่งการที่ชนะ 11 นัดรวด ในระหว่างนัดที่ 25 - 35 ของฤดูกาล ทำให้ทีมหงส์แดงกุมความได้เปรียบเอาไว้ในมือ ก่อนที่การลื่นแห่งฤดูกาลของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในเกมกับ ทีมเชลซี จะกลายเป็นจุดพลิกผันขึ้นในที่สุด



ตามมาด้วยทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ค่อยๆ ทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะได้ขึ้นไปแตะจ่าฝูงแค่ไม่กี่นัดก่อนหน้านั้น ก็ได้กลายเป็นตาอยู่หยิบชิ้นปลามันไปกิน จากการชนะรวดใน 5 นัดสุดท้าย และการขึ้นนั่งจ่าฝูงเพียงแค่ 3 เกมหลังสุด ก็เพียงพอสำหรับ ที่ทีมเรือใบสีฟ้าที่จะแล่นเข้าสู่เส้นชัย ปล่อยให้หงส์แดงต้องชอกช้ำ เพราะดันไปเสมอ ทีมคริสตัล พาเลซ 3-3 ในนัดรองสุดท้าย ทั้งที่นำห่าง 3-0 ก่อน

และฤดูกาลนี้หลายคนวาดภาพว่าการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์ฟุตบอลคงจะสนุกตื่นเต้นและเร้าใจไม่แพ้ปีก่อน เพราะแต่ละทีมน่าจะมาปล่อยของกันเต็มที่กว่าเดิม และ ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ก็น่าจะกลับมาร่วมวงได้ หลังจากได้กุนซือมือดีอย่าง หลุยส์ ฟาน ฮัล เข้ามากอบกู้

โดยที่โค้ช มานูเอล เปเญกรินี่ ที่พา ทีมแมนฯ ซิตี้คว้าดับเบิ้ลแชมป์พรีเมียร์ลีกและลีกคัพตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาคุมทีม คงจะมีดีอะไรมาโชว์ให้เห็นกันอีก ส่วน ทีมอาร์เซนอล ที่ปลดล็อกแชมป์แรกในรอบ 9 ปีได้ ก็คงจะมั่นใจมากขึ้นในการกลับมาแก้มือในปีนี้

ซึ่งทีมลิเวอร์พูล ดูจะต้องลุ้นมากกว่าเพื่อนเพราะเสียหัวใจหลักของทีมอย่างซัวเรซไป แต่ผลงานของร็อดเจอร์สที่ทำไว้ในปีก่อนจนได้รับคำชมอย่างมาก ก็น่าจะทำให้ ทีมหงส์แดงสานต่อฟอร์มที่ดีเอาไว้ได้

ซึ่งทีมที่รอเสียบเข้าท็อปโฟร์อย่าง ทีมสเปอร์ส และ ทีมเอฟเวอร์ตัน ก็น่าจะเป็นตัวแปรให้การลุ้นสนุกขึ้นเช่นเดียวกับปีที่แล้ว

เพียงแต่ว่า เมื่อเอาเข้าจริงๆ หลังจากผ่านไปแค่ 11 นัดแรกของฤดูกาลนี้ ทีมเชลซี กลับกลายเป็นเต็งหามที่จะเข้าป้ายแชมป์แบบนอนมาไปซะแล้ว เมื่อ โค้ชมูรินโญ่ที่เข้ามาปรับจูนทุกอย่างจนเข้าที่แล้วเมื่อปีก่อน นำทีมสร้างผลงานได้อย่างเด็ดขาดในปีนี้




สำหรับทีมสิงห์ครามนั้น นั่งแป้นจ่าฝูงมาตั้งแต่แข่งนัดแรกจบ และไม่ยอมลงจากบัลลังก์เลยจนถึงตอนนี้ ด้วยสถิติชนะ 9 เสมอ 2 ขณะที่คู่แข่งทีมอื่นๆ ไม่เข้ารกเข้าพง ก็ยืนระยะโชว์ฟอร์มสวยๆ ได้แต่ 2-3 นัด ก็เหี่ยวปลายตายธรรมชาติไปชนิดที่นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ

สถานการณ์ของทีมแมนฯ ยูไนเต็ด นั้นไม่ฟื้นกลับมาอย่างที่หลายคนคาดหวัง จน ฟาน ฮัล เองยังต้องออกมายอมรับว่าตัดสินใจพลาด ที่มัวแต่คิดเรื่องจะทดลองระบบใหม่ๆ กับทีม ทั้งที่นักเตะไม่คุ้นเคยและปรับตัวไม่ได้กับระบบของเขา

ทางด้าน อาร์เซ เวนเกอร์ ได้ถอดใจไวกว่าเพื่อน ยอมยกธงขาวว่า ทีมอาร์เซนอล หรือ ทีมไหนๆ ก็คงไม่มีปัญญาแย่งแชมป์กับ ทีมเชลซีได้ในปีนี้ หลังโดนปัญหานักเตะเดี้ยงระนาวเล่นงานแต่หัววัน ส่วนคนที่ไม่เจ็บก็ดันทำฟอร์มเก่งหายไปหมด

ตัวของ ร็อดเจอร์ส เองนั้นก็โดนไปอ่วมจากฟอร์มการเล่นของทีมที่แตกต่างจากปีก่อนมาก หลังจากที่กุนซือหงส์แดงโดนสับเละที่ไม่มีปัญญาเลือกตัวแทนของซัวเรซได้ดีไปกว่า มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่ยังทำอะไรได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลยนับตั้งแต่ย้ายมา




และในขณะที่โปรแกรมบอล ทีมแมนฯ ซิตี้ ที่ทำท่าเหมือนจะมาดีสมศักดิ์ศรีแชมป์เก่า ก็ไม่มีอะไรเปรี้ยงปร้าง แถมฟอร์มยังดร็อปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อดาวเตะตัวหลักๆ โชว์ฟอร์มกันไม่ออก แถมปัญหาในการลงเตะแชมเปี้ยนส์ลีกที่ทีมทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง ก็ดูจะส่งผลกระทบมาถึงฟอร์มในลีกของทีมด้วย

ซึ่งเดินทางมาจนถึงตอนนี้ภาพของการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้จึงผิดกับที่หลายคนวาดเอาไว้มาก เพราะถ้าไม่เกิดอาเพศอะไรขึ้นมากับเชลซี ก็ยังมองไม่เห็นว่าใครจะมาหยุดสิงโตสีครามได้อยู่

สำหรับ ทีมเซาธ์แฮมป์ตัน ที่กลายเป็นทีมม้ามืดที่ฟอร์มพุ่งแรงแบบเซอร์ไพรส์ ทั้งที่เสียทั้งดาวเตะดังๆ และกุนซือฝีมือดีไปในช่วงซัมเมอร์ แถมยังออกสตาร์ตฤดูกาลได้แบบง่อนแง่นเต็มที

เพียงแต่หลังจากนั้น ทีมนักบุญก็ชนะอย่างต่อเนื่องด้วยฟอร์มการเล่นที่มีคุณภาพ และกลายเป็นทีมที่ทำแต้มไล่บี้ทีมเชลซีมากที่สุด โดยตามหลังแค่ 4 คะแนนเท่านั้น




ตามมาด้วยทีมเวสต์แฮมที่ต้องร่วมวงหนีตกชั้นอยู่พักใหญ่เมื่อปีก่อน เป็นอีกทีมที่ออกสตาร์ตแย่แต่มาฟอร์มดีในช่วงหลัง และขึ้นมาติดท็อปโฟร์เฉย ยังไม่รวมสวอนซีที่อยู่ที่ 5 และ ทีมนิวคาสเซิลที่มาโกยคะแนนในนัดหลังๆ จนขยับจากทีมบ๊วยขึ้นมาอยู่ที่ 8 แล้ว

ซึ่งทั้ง ทีมอาร์เซนอล, ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด และ ทีมลิเวอร์พูล นั้นยังอยู่นอกกลุ่มท็อปโฟร์ และดูจากแต้มที่โดนทิ้งห่างกัน 10 กว่าคะแนนขึ้นไปแล้ว คงจะไปฮึดไปเบียดแย่งแชมป์กับ ทีมเชลซี ยากเต็มที เหลือก็แค่ ทีมแมนฯ ซิตี้ ที่ยังพอได้ลุ้นอยู่ แต่ก็คงต้องเค้นฟอร์มที่ดีกว่านี้มากๆ ออกมา และต้องลุ้นให้ ทีมเชลซีฟอร์มหลุดกระจุยกระจายด้วย

และถ้าหากจะพูดได้ว่าคงยากที่จะเห็นมูรินโญ่ปล่อยให้ความได้เปรียบขนาดนี้หลุดมือไป และถ้าไม่มีจุดพลิกผันที่มโหฬารจริงๆ การลุ้นแชมป์ไฮไลท์ฟุตบอลปีนี้คงจะกลับไปจืดชืดเหมือนเดิม และความมันน่าจะอยู่ที่การลุ้นอันดับท็อปโฟร์กันมากกว่า

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บัวเต็งเบิ้ลมิลานต้อนพีเอสวี 3:0 ลิ่ว

บัวเต็งเบิ้ลมิลานต้อนพีเอสวี3:0ลิ่วแบ่งกลุ่มชปล.+คลิป 
บัวเต็งเบิ้ลมิลานต้อนพีเอสวี3:0ลิ่วแบ่งกลุ่มชปล.+คลิป

ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2013-14

รอบเพลย์ออฟ นัดสอง

วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2556

เอซี มิลาน 3 : 0 พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น 

รอบเพลย์ออฟ นัดสอง(นัดแรกเสมอ 1-1)

สนาม : ซานซิโร

ผู้ตัดสิน : มาร์ค แคล็ตแท่นเบิร์ก

 


นาทีที่ 8 พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นได้โอกาสลุ้นทำประตูก่อน จากลูกโหม่งของทิม มาตาฟซ์ คริสเตียน อับเบียติต้องพุ่งปัดทิ้งไป

นาทีที่ 9 "ปีศาจเเดง-ดำ"เอซี มิลาน ได้ประตูขึ้นนำ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ก่อน 1:0 จากลูกยิงไกลอันสุดสวยของเควิน-พรินซ์ บัวเต็ง

นาทีที่ 18 มาริโอ บาโลเตลลี่ได้ลองยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษ บอลโด่งข้ามคานออกไป

นาทีที่ 20 อดัม มาเอร์ได้ฮาล์ฟวอลเลย์ด้วยขวา คริสเตียน อับเบียติต้องพุ่งปัดบอลทิ้งไป

นาทีที่ 30 เควิน-พรินซ์ บัวเต็งจ่ายบอลให้กับริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่หลุดขึ้นไปยิงด้านฝั่งขวา บอลหลุดเสาเเรกออกไป

นาทีที่ 39 ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่เปิดบอลจากด้านริมเส้นฝั่งขวา มาให้กับมาริโอ บาโลเตลลี่โหม่งบอลหลุดเสาสองออกไป

นาทีที่ 47 มัตเตีย เด ชีโย่สกัดบอลไม่ขาด บอลเลยมาถึงจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุมได้โอกาสยิงไปตรงคริสเตียน อับเบียติทุบทิ้งออกไปได้

นาทีที่ 55 สเตฟาน เอล ชาราวีเปิดลูกเตะมุมฝั่งขวา มาให้กับฟิลิปป์ เม็กแซสได้โหม่ง ก่อนมาริโอ บาโลเตลลี่จิ้มบอลเข้าไปตุงตาข่าย เอซี มิลาน นำห่าง พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น 2:0

นาทีที่ 75 มาริโอ บาโลเตลลี่ได้ลองยิงไกลจากเเถวสอง เยรูน ซูทต้องพุ่งปัดทิ้งไป

นาทีที่ 78 อันเดรีย โปลีไหลบอลจากด้านฝั่งขวา ให้กับเควิน-พรินซ์ บัวตัวเต็งเติมเกมขึ้นมาด้านฝั่งซ้าย ก่อนจะยิงเสียบเสาสองเข้าไป เอซี มิลาน นำห่าง พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นด้วยผลบอล 3:0

จบเกม เอซี มิลาน เอาชนะ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น 3:0

รวมผลสองนัด "ปีศาจเเดง-ดำ"เอซี มิลาน เอาปราบ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น 4:1 ทะลุเข้าสู่รอบเเบ่งกลุ่มศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2013-14 ได้สำเร็จ

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม
เอซี มิลาน ระบบ 4-3-3 :
ผู้รักษาประตู : คริสเตียน อับเบียติ
กองหลัง : อินยาซิโอ อบาเต้,คริสเตียน ซาปาต้า,ฟิลิปป์ เม็กแซส,มัตเตีย เด ชีโย่
กองกลาง : ไนเจล เด ย็องก์,ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่,ซัลลีย์ อาลี มุนตารี่
กองหน้า : เควิน-พรินซ์ บัวเต็ง,มาริโอ บาโลเตลลี่,สเตฟาน เอล ชาราวี

พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ระบบ 4-3-3 :
ผู้รักษาประตู : เยรูน ซูท
กองหลัง : โยชัว เบรเน็ต,เจฟฟรี่ย์ บรูม่า,คาริม เรคิก,เยโทร วิลเล่มส์
กองกลาง : อดัม มาเอร์,สไตน์ ชาร์ส,จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม
กองหน้า : เมมฟิส เดปาย,ทิม มาตาฟซ์,ปาร์ค จี-ซอง

ส่วนผลคู่อื่น

เอซี มิลาน                   3 - 0     พีเอสวี    
เรอัล โซเซียดาด            2 - 0     ลียง    
มาริบอร์                       0 - 1     วิตอเรีย พิลเซ่น    
เซลติก                       3 - 0     ชัคเตอร์ ซารากานดี้    
เซนิตฯ                       4 - 2     ปากอส เฟเรยร่า